
ปฎิเสธไม่ได้เลยว่า ในยุคนี้ข้อมูลนั้นสำคัญเป็นอย่างยิ่งในการทำธุรกิจ แต่เมื่อมีข้อมูลจากช่องทางต่าง ๆ ในมือแล้วจะทำอย่างไรถึงจะใช้ประโยชน์กับข้อมูลเหล่านี้ได้มากขึ้นล่ะ? ดังนั้น “Data Visualization” จึงเข้ามามีบทบาทในจุดนี้
Data Visualization คือการนำข้อมูลดิบต่างๆ ที่เรามีอยู่มาสรุป ทำการวิเคราะห์และแสดงผลในรูปแบบของแผนภูมิ (Chart), กราฟ (Graph), ตาราง (Table, แผนที่ (Map) และรูปแบบต่าง ๆ อีกมากมายที่เราต้องการแสดงให้เห็นภาพ ทำให้เราเห็นข้อมูลเชิงลึกและเห็นภาพในมุมมองของธุรกิจที่หลากหลายและชัดเจนยิ่งขึ้น เช่น กลุ่มเป้าหมายในปัจจุบัน (เพศ กลุ่มอายุ พิกัดที่อยู่อาศัย รายได้ ฯลฯ), สินค้าที่ขายดีที่สุด, เหตุผลที่เลือกซื้อสินค้า ช่องทางการตลาดที่ทำให้รู้จักแบรนด์สินค้า เป็นต้น นอกจากนั้นแล้ว Data Visualization ยังช่วยให้การวิเคราะห์ข้อมูลนั้นมีประสิทธิภาพมากขึ้นเพราะจะทำให้เห็นภาพรวมและรายละเอียดในมุมมองต่างๆ ได้มากขึ้นและมีความแม่นยำสูง ทำให้มองเห็นแนวโน้มการตลาดในอนาคตจากข้อมูลเหล่านี้ และสามารถนำไปทำ Business Planning วางแนวทางของธุรกิจต่อไปได้อย่างมีประสิทธิภาพ

ตัวอย่างในการนำ Data Visualization มาใช้กับวิเคราะห์ยอดขายของธุรกิจ
1. การจัดกลุ่มประเภทของลูกค้าด้วยเพศและช่วงอายุ

การจัดกลุ่มประเภทของลูกค้าด้วยเพศและช่วงอายุ จะทำให้เห็นกลุ่มลูกค้าของเราที่ชัดเจนมากขึ้น ซึ่งเมื่อเราได้ข้อมูลมาว่ากลุ่มลูกค้าของเราหลัก ๆ แล้วเป็นกลุ่มลูกค้าเพศไหน ช่วงอายุเท่าไหร่ ก็จะทำให้เราตัดสินใจได้ง่ายขึ้นในการที่จะวางแนวทางของธุรกิจ หรือมองหากลุ่มลูกค้าใหม่ๆ ที่ยังไม่ได้เป็นลูกค้าของเราเพื่อเพิ่มยอดขายในอนาคต
2. การจัดกลุ่มประเภทของลูกค้าด้วยพิกัดที่อยู่หรือจังหวัดที่พำนักอยู่

การจัดกลุ่มประเภทของลูกค้าด้วยพิกัดที่อยู่หรือจังหวัดที่พำนักอยู่ จำทำให้เห็นภาพรวมว่าลูกค้าที่ซึ้อสินค้านั้น อาศัยอยู่ในพื้นที่ใดและในจังหวัดใดเป็นส่วนมาก ทำให้เราสามารถนำข้อมูลเหล่านี้ไปต่อยอดทางด้านการยิงโฆษณาออนไลน์ หรือทำการตลาดอื่น ๆ ในเฉพาะพื้นที่ที่ต้องการจะเจาะกลุ่มลูกค้า สามารถลดค่าใช้จ่ายในการทำโฆษณาที่ไม่จำเป็น
3. การสอบถามลูกค้าว่าเหตุผลที่ลูกค้าซื้อสินค้าคืออะไร

การสอบถามลูกค้าว่าเหตุผลที่ลูกค้าซื้อสินค้าคืออะไร เป็นการนำข้อมูลมาวิเคราะห์ต่อยอดทางด้านการพัฒนาคุณภาพของผลิตภัณฑ์, การออกแบบบรรจุภัณฑ์, การเลือกช่องทางในการทำการตลาด และการตั้งราคาให้เหมาะสม ทำให้สามารถพัฒนาสินค้าและบริการที่ตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าได้อย่างแท้จริง
4. การสอบถามว่าลูกค้ารู้จักแบรนด์สินค้ามาจากช่องทางไหน

การสอบถามว่าลูกค้ารู้จักแบรนด์สินค้ามาจากช่องทางไหน เป็นการสอบถามเพื่อวิเคราะห์ต่อยอดว่าช่องทางหลัก ๆ ที่ลูกค้ารู้จักแบรนด์สินค้านั้นคือช่องทางไหน ทำให้สามารถมุ่งเป้าทำโฆษณาในช่องทางที่ลูกค้ารู้จักเป็นส่วนมาก หรือในทางตรงกันข้ามก็คือการเพิ่มการโฆษณาในช่องทางที่ลูกค้ารู้จักน้อยแต่ค่าใช้จ่ายในการโฆษณาต่ำ เพื่อทำให้ผู้ชมโฆษณาในช่องทางนั้น ๆ ที่ยังไม่รู้จักแบรนด์เราได้ทำความรู้จักกับแบรนด์และกลายเป็นลูกค้าในอนาคต
จากตัวอย่างข้างต้นนั้นแสดงให้เห็นว่าการใช้ Data Visualization นั้นทำให้เราวิเคราะห์ข้อมูลในด้านต่างๆ ได้ออกมาอย่างแม่นยำและมีประสิทธิภาพ สามารถกำหนดแนวทาง และ ป้องกันความเสี่ยงในด้านต่างๆ ที่จะอาจจะเกิดขึ้นได้อีกด้วย
ประโยชน์ของ Data Visualization ที่จะช่วยให้ธุรกิจและทีมเติบโตมากยิ่งขึ้น
Data Visualization อาจไม่ได้หมายถึงเพียงแค่การสร้างแผนภูมิวงกลมหรือกราฟแท่งเท่านั้น แต่อาจจะรวมถึงการแสดงข้อมูลทางธุรกิจที่ละเอียดแบบเรียลไทม์หรือแบบอัพเดทรายวัน ซึ่งองค์กรของคุณอาจจะมีเทคโนโลยีอัจฉริยะที่ช่วยรวบรวมข้อมูลมาเก็บไว้ในที่เดียวได้ แต่คุณจะสามารถนำข้อมูลเหล่านั้นมาทำอะไรต่อได้บ้างล่ะ? บางครั้งมันก็ไม่ได้ขึ้นอยู่กับปริมาณข้อมูลที่มี แต่ขึ้นอยู่กับวิธีที่คุณนำมาใช้ ซึ่งในส่วนนี้เองที่ Data Visualization สามารถช่วยเราได้
และนี่ก็คือประโยชน์ที่ Data Visualization สามารถสร้างประโยชน์ให้กับธุรกิจของคุณได้
1. Data Visualization สามารถเล่าเรื่องได้ดีกว่า
หนึ่งในสาเหตุที่สื่อโซเชียลมีเดียได้รับความนิยม น่าจะเป็นเพราะสื่อโซเชียลมีเดียนั้นมีรูปภาพเป็นส่วนประกอบซะเป็นส่วนใหญ่ ซึ่งรูปภาพนั้นสามารถบอกเล่าเรื่องราวได้ดีกว่าแผนภูมิ, ข้อความบนเว็บบล็อก หรือแม้กระทั่งตัวพรีเซนเทชั่นเอง ซึ่งการแสดงข้อมูลแบบ Data Visualization ที่มีความเป็น Dynamic ทำให้ผู้ชมสามารถรับรู้เรื่องราวที่คุณต้องการเล่าได้ง่ายยิ่งขึ้น โดยข้อมูลเหล่านี้จะช่วยให้ดวงตาและสมองของเราทำงานอย่างสัมพันธ์กัน

2. Data Visualization ทำให้การนำเสนอแลดูมีคุณค่ามากขึ้น
Data Visualization นั้นทรงพลังทางการตลาดเป็นอย่างมาก เพราะมันสามารถแสดงผลลัพธ์และดึงดูดความสนใจของผู้ชมได้เป็นอย่างดี นอกจากนี้ยังทำให้พวกเขาจินตนาการตามข้อมูลที่ได้รับได้อีกด้วย ลองนำการแสดงข้อมูลแบบ Data Visualization มาใช้บนหน้าแรกของเว็บไซต์หรือบล็อกเพื่อโปรโมทโปรโมชั่นหรือข้อเสนอทางการตลาดของธุรกิจสิ แล้วคุณจะพบว่าผู้ชมมีการตอบสนองกับข้อความเหล่านี้มากขึ้น มากกว่าการเสนอขายด้วยการใช้ตัวหนังสือเพียงอย่างเดียว

3. Data Visualization ทำให้สามารถสื่อสารข้อมูลได้เร็วขึ้น
การสื่อสารข้อมูลผ่านโซเชียลมีเดีย เช่น Facebook หรือ Twitter หรือแม้กระทั่งการสื่อสารข้อมูลผ่านเว็บไซต์ขององค์กรเองในบางครั้งงข้อมูลสถิติต่าง ๆ ก็เป็นเรื่องยากที่จะทำให้บุคคลทั่วไปไดติดตามและทำความเข้าใจกับตัวเลขที่เปลี่ยนแปลงแทบจะตลอดเวลาและมีค่ามากมายที่สัมพันธ์กัน ซึ่งเมื่อเรานำเสนอข้อมูลเหล่านั้นด้วย Data visualization ก็ทำให้เราสามารถย่อยข้อมูลที่เป็นสาระสำคัญได้ง่ายขึ้น เข้าใจมากขึ้น ผ่านการแยกสีสันที่แตกต่างกันแทนข้อมูลที่เป็นเพียงตัวเลขหรือตัวหนังสือ

4. Data Visualization ทำให้สามารถตัดสินใจได้รวดเร็วมากขึ้น
Data Visualization ช่วยให้สมองประมวลผลได้เร็วขึ้น เมื่อเราอยู๋ในสถานการณ์ที่ต้องใช้ทักษะการตัดสินใจอย่างรวดเร็ว เช่น การดูแนวโน้มของตลาด การกำหนดกลุ่มลูกค้าเป้าหมาย ช่องทางการตลาดที่มีประสิทธิผล หรือแม้กระทั่งการจัดการสินค้าคงคลัง ซึ่งสามารถทำให้เรามองภาพรวมได้ดีกว่าการกวาดตาผ่านข้อมูลที่เป็นตารางหรือแผนภูมิจำนวนมหาศาล เสนอข้อมูลเหล่านั้นด้วย Data visualization ผ่านทวิตเตอร์ ทำให้เราสามารถย่อยข้อมูลที่เป็นสาระสำคัญได้ง่ายขึ้น เข้าใจมากขึ้น ผ่านการแยกสีสันที่แตกต่างกันแทนข้อมูลอุณหภูมิของแต่ละเดือน

และนี่ก็คือประโยชน์ของข้อมูลแบบ Data Visualization ที่มีต่อธุรกิจและทีมงาน มันคือการนำเสนอข้อมูลรูปแบบใหม่ที่มีความใกล้ชิดกับธรรมชาติการรับรู้ของมนุษย์มากที่สุด เพียงต้องลองนำมาประยุกต์ใช้ จะพบว่า Data Visualization ทำอะไรได้มากกว่าที่เราคิด
สรุป
เมื่อเทรนด์ปัจจุบันของโลก และพฤติกรรมการบริโภคของคนเราเปลี่ยนไปในแต่ละช่วงเวลา ธุรกิจก็จำเป็นต้องปรับตัวเพื่อตอบสนองตลาดที่มีการเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา และเพื่อทำให้ธุรกิจของเรานั้นอยู่รอดต่อไปได้ ซึ่งการนำ Data Visualization มาใช้งาน ก็เป็นหนึ่งในแนวทางการพัฒนาการตลาดด้วยการใช้ข้อมูลที่ทำให้เห็นภาพง่ายขึ้น และสามารถบอกเล่าเรื่องราวผ่านกราฟิกต่าง ๆ โดยเน้นการโฟกัสไปยังความสำคัญส่วนใดส่วนหนึ่งของเนื้อหา ทำให้การวิเคราะห์และการวางแผนงานนั้นสะดวกขึ้น และธุรกิจของคุณอาจเจอแนวทางใหม่ ๆ ในการสร้างแบรนด์และช่องทางการตลาดในแนวใหม่ก็เป็นได้
ระบบของเบิร์ธโน๊ตช่วยอำนวยความสะดวกเกี่ยวกับ Data Visualization อย่างไรบ้าง?
Data ของลูกค้าที่ได้จากการสแกน QR จะถูกเก็บไว้ในระบบหลังบ้านของเบิร์ธโน้ต ซึ่งมีชื่อว่า Interactive Intelligence Report (IIR) ซึ่งสามารถดูผลการสแกนได้แบบเรียลไทม์ นอกจากนั้นแบรนด์สินค้ายังสามารถดูรายงานแบบภาพรวมของข้อมูลประเภทต่าง ๆ เช่น เพศ, อายุ, ช่วงเวลาที่ลูกค้าสแกนเข้ามา, พื้นที่ที่ลูกค้าสแกนเข้ามา, รายได้คร่าว ๆ ของลูกค้า, ช่องทางที่ลูกค้ารู้จักแบรนด์สินค้า และอื่น ๆ อีกมากมาย ในรูปแบบของกราฟและแผนภูมิต่าง ๆ โดยจะแสดงผลแบบ Interactive ตามสิ่งผู้ใช้ต้องการจะให้แสดงผลข้อมูลแบบเปรียบเทียบ ทำให้ง่ายต่อการวิเคราะห์ข้อมูล และตัดสินใจเกี่ยวกับกลยุทธ์ทางการตลาด รวมถึงแนวโน้มของตลาดในอนาคต

เราสามารถช่วยท่านเก็บข้อมูลของลูกค้า รวมทั้งแบบสอบถามจากลูกค้าได้ค่ะ ด้วยการติดสติ๊กเกอร์ QR Code ลงบนผลิตภัณฑ์ เมื่อลูกค้าทำการสแกน QR Code แล้ว ก็สามารถตรวจเช็คสินค้าแท้และสามารถกรอกข้อมูลเพื่อลุ้นรางวัลหรือสะสมแต้ม ตามที่แบรนด์จัดทำขึ้น ทางแบรนด์ก็จะได้ข้อมูลลูกค้าในส่วนนี้ไปวิเคราะห์ต่อยอดทางการตลาดต่อไป

เบิร์ธโน๊ต ผู้นำระบบด้านการจัดเก็บข้อมูลลูกค้า เพื่อการต่อยอดทางการตลาด เราได้พัฒนาสติ๊กเกอร์ QR Code รูปแบบใหม่ซึ่งแบรนด์สามารถนำไปติดอยู่บนสินค้าหรือบรรจุภัณฑ์ สร้างประสบการณ์ที่น่าตื่นเต้นและประทับใจให้กับลูกค้า โดยให้ลูกค้าสแกน QR Code เพื่อตรวจสอบของแท้ แล้วกรอกข้อมูลส่วนตัวเพื่อลุ้นรางวัล, สะสมแต้ม หรือรับประกันสินค้า ซึ่งบริการของเบิร์ธโน๊ต เหมาะกับธุรกิจตั้งแต่ขนาดเล็กไปจนถึงธุรกิจขนาดใหญ่ สามารถจัดงบตามความต้องการของลูกค้าได้ค่ะ ค่าใช้จ่ายไม่แพงอย่างที่คิด และรับรองว่าคุ้มค่าการลงทุนทุกบาททุกสตางค์แน่นอนค่ะ
หากท่านสนใจ ระบบสติ๊กเกอร์ QR Code กันปลอม, สติ๊กเกอร์ QR Code ชิงรางวัล, สติ๊กเกอร์ QR Code แบบสอบถาม, และสติ๊กเกอร์ QR Code สะสมแต้ม รวมทั้งระบบแสดงผลจากการเก็บข้อมูลลูกค้าแบบ Data Visualization ในชื่อว่า Interactive Intelligence Report (IIR) จากเบิร์ธโน๊ตสามารถสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่
โทร 087-689-8608, 082-439-1589 หรือส่งอีเมลที่ [email protected] เพื่อให้เราติดต่อกลับค่ะ
ท่านสามารถกรอกแบบฟอร์มด้านล่างเพื่อฝากข้อความถึงเราได้ค่ะ